เหล็ก

Steel

เหล็กเส้น

เหล็กเส้นมีกี่ประเภท แต่ละประเภทใช้งานแตกต่างกันอย่างไร


เหล็กเส้นมีกี่ประเภท โดย เลคกล้า

เหล็กเส้นมีกี่ประเภท แต่ละประเภทใช้งานแตกต่างกันอย่างไร

เหล็กเส้นมีกี่ประเภท แต่ละชนิดใช้งานแตกต่างกันอย่างไร หรือสามารถใช้แทนกันได้หรือไม่..ปัญหาที่พบบ่อยสำหรับผู้ที่ต้องการนำเหล็กเส้นมาใช้ก่อสร้าง เพราะ เหล็กเส้นมีหลายแบบ หลากหลายชนิดและขนาดก็ต่างกันด้วย รวมถึง ราคาก็ต่างกันเช่นกัน ดังนั้น การรู้จักประเภทของเหล็กเส้น ทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ต้องการใช้ คือ ได้เหล็กเส้นที่ตรงกับงานก่อสร้างที่ต้องการ, ได้ราคาเหล็กที่เหมาะสมไม่โดนโกง, ได้ขนาดเหล็กที่ถูกสเปคไม่เหลือไม่ขาด แนะนำปรึกษา เลคกล้า ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเหล็ก โดยตรง 

เหล็กเส้นกลม 

  • เหล็กเส้นกลม เหล็กกลม หรือเรียกสั้นๆว่า RB คือ เหล็กเส้นที่มีพื้นที่ภาคตัดขวางเป็นรูปกลม มีลักษณะพื้นผิวที่เรียบเกลี้ยงไม่บิดเบี้ยว มีคุณสมบัติคงทน และสามารถรับแรงได้ดี
  • เหล็กเส้นกลมจะมีลักษณะคล้ายกับเหล็กเพลาขาว แต่จะต่างกันที่เกรดเหล็ก โดยเกรดของเหล็กเส้นกลมจะใช้เป็น SR24
  • เหล็กเส้นกลมมักนิยมนำไปใช้ในงานคอนกรีตเสริมเหล็ก, งานก่อ ผนังทั่วไป หรือใช้เป็นเหล็กปลอกในคาน ในเสา สาหรับงาน ก่อสร้างขนาดเล็ก และขนาดกลาง
  • ขนาดของเหล็กเส้นกลมท่ีนิยมนำไปใช้งานจะมีความยาวความยาว 10 เมตร และ 12 เมตร โดยมีขนาดตั้งแต่ 6 mm. 9 mm. ,12 mm. ,15 mm. ,19 mm. และ 25 mm.

เหล็กข้ออ้อย




เหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อย ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเหล็กเส้นแต่ละประเภท

     เหล็กเป็นแร่ธาตุที่สำคัญที่ส่วนใหญ่เรานำมาใช้ในการก่อสร้าง เหล็กเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญในงานโครงสร้างที่จะทำให้สิ่งก่อสร้างเป็นรูปร่างและมีความคงทนแข็งแรง ซึ่งเหล็กในแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. เหล็กเส้นกลม  (Round Bar) ช่างโดยทั่วไปมักเรียกกันว่า เหล็ก RB มีลักษณะภายนอกจะมีผิวเรียบเกลี้ยง หน้าตัดกลม ซึ่งที่มีขายกันอยู่ทั่วไป ใช้ในการยึดเหนี่ยวระหว่างเหล็กกับคอนกรีต ต้องมีการงอเพื่อที่จะสามารถถ่ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนมากจะใช้สำหรับงานโครงสร้าง เช่น ปลอกเสา ปลอกคาน โครงถนน งานก่อสร้างขนาดเล็กและขนาดกลาง เป็นต้น เหล็กชนิดนี้จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 6 -25 มิลลิเมตร สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมในการใช้งาน

     มาตรฐานอุตสาหกรรม มอก.20-2559 ชั้นคุณภาพของเหล็กประเภทนี้คือ SR24 ที่เป็นที่รู้จักและนิยมใช้คือ เหล็ก Tata tiscon, บลกท, RSM, TDC

     - RB6 (เหล็กเส้นกลม 2 หุน) ใช้สำหรับงานก่อสร้างที่รับแรงไม่มาก นิยมใช้ทำปอกเสา และปอกคาน

     - RB9 (เหล็กเส้นกลม 3 หุน) ใช้สำหรับงานก่อสร้างที่รับแรงไม่มาก คล้ายกับเหล็กเส้นกลม 2 หุน

     - RB12 (เหล็กเส้นกลม 4 หุน) ใช้สำหรับงานก่อสร้างทั่วไป แต่ไม่เน้นงานยึดเกาะ เพราะเหล็กมีลักษณะเรียบมน ทำให้ยึดเกาะปูนไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนมากนิยมใช้กับงานกลึง เช่น งานกลึงหัวน๊อตต่างๆ

     - RB19  ใช้สำหรับงานทำถนน

     - RB25 ใช้ทำเป็นเหล็กสตัท เกรียวเร่ง สำหรับงานยึดโครงป้ายขนาดใหญ่สามารถรับแรง และน้ำหนักได้ดี

2. เหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar) เป็นเหล็กที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างเสริมคอนกรีตที่ต้องการโครงสร้างแข็งแรง เช่น อาคารสูง คอนโดมิเนียม ถนนคอนกรีต สะพาน เขื่อน สนามบิน บ่อหรือสระน้ำ เป็นต้น มีลักษณะเป็นเส้นกลมที่มีบั้ง ผิวของเหล็กจะมีลักษณะเป็นปล้องๆ อยู่ตลอดเส้น เหล็กข้ออ้อยจะรับแรงได้มากกว่าเหล็กเส้นกลมเรียบ จะให้ผลที่ดีต่อการรับน้ำหนักมากกว่า การเลือกใช้ชนิดของเหล็กเส้นข้ออ้อย SD30, SD40, และ SD50 ขึ้นอยู่กับชนิดของโครงสร้างเป็นสำคัญ โดยเหล็กข้ออ้อยจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่มีขายโดยทั่วไปคือ 12 และ 16 มม. สำหรับขนาดอื่นได้แก่ 10, 20, 25 และ 28 มม. ต้องสั่งซื้อพิเศษ โดยเหล็กข้ออ้อยแต่ละขนาดจะมีความยาวอยู่ที่ 10 และ 12 เมตรเช่นเดียวกับเหล็กเส้นกลม


มาตรฐานของเหล็กเส้นมี 2 ประเภท คือ

     1. เหล็กเต็มหรือเหล็กโรงใหญ่ หมายถึงเหล็กที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง และน้ำหนักของเหล็กได้มาตรฐาน มอก.เลขที่ 24-2559

     2. เหล็กเบาหรือเหล็กโรงเล็ก เป็นเหล็กที่ผลิตให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางและน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน มอก. มักเป็นเหล็กรีดซ้ำ (นำเศษเหล็กที่ใช้งานแล้วหรือเศษเหล็กเสียสภาพมารีดใหม่อีกครั้ง) เหล็กเบาจะมีราคาต่ำกว่าเหล็กเต็มประมาณ 40 สตางค์ – 1 บาทต่อ 1 กิโลกรัม ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่อาจก่อให้เกิดอันตราย เพราะอาจจะไม่สามารถรับน้ำหนักตามที่แบบกำหนดไว้ได้

ลักษณะเหล็กที่ดี มีคุณภาพ ควรมีข้อพิจารณา 4 ประการ

     1. เหล็กเส้นกลมผิวเรียบเกลี้ยง ไม่มีปีก หน้าตัดกลม ไม่เบี้ยว ไม่มีรอยปริแตก

     2. เหล็กข้ออ้อย ต้องมีบั้งระยะเท่ากัน สม่ำเสมอตลอดทั้งเส้น

     3. เส้นผ่านศูนย์กลางและน้ำหนักถูกต้อง

     4. เมื่อดัดโค้ง งอ ต้องไม่ปริแตก หักง่าย

เหล็กรูปพรรณ

เหล็กรูปพรรณ /เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ คืออะไร ? 

เหล็กรูปพรรณ /เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ คืออะไร ? เรามีสาระดีๆมาฝากค่ะ


เหล็กรูปพรรณ /เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ คืออะไร ? เรามีสาระดีๆมาฝากค่ะ

เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ (Structural Steel), เหล็กรูปพรรณ (Steel) เราคงเคยได้ใช้งานหรือเคยได้ยินชื่อเรียกเหล็ก ประเภทนี้กันมาบ้างแล้วเคยสงสัยกันมั้ยคะว่า เหล็กรูปพรรณคืออะไร? มีกี่แบบ? แล้วมันต่างกันยังไง? วันนี้เราจะพามาหาคำตอบกันค่ะ

เหล็กรูปพรรณ คือ คำ เรียกเหล็กชนิดหนึ่ง ที่ผ่านกระบวนการผลิตและแปรรูป เป็นรูปทรงต่างๆ ให้เหมาะสมกับการทำงานแต่ละประเภท และช่วยให้เกิดความสะดวกสบายในด้านการใช้งาน  ทั้งงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ งานโครงสร้าง งานศิลปะ ซึ่งสามารถจำแนกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ คือ  เหล็กรูปพรรณรีดร้อน และ เหล็กรูปพรรณขึ้นรูปเย็น ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะที่ต่างกันค่ะ

เหล็กรูปพรรณรีดร้อน (Hot rolled structural steel) คือ เหล็กที่ผ่านกระบวนการหลอม และหล่อขึ้นรูปเป็นเหล็กแท่งในขั้นต้น จากนั้นใช้ความร้อนเพื่อทำการรีด ตอนที่เหล็กยังมีอุณหภูมิสูง เพื่อให้ได้หน้าตัดและขนาดต่างๆ

การใช้งานของเหล็กรูปพรรณรีดร้อน นิยมใช้ในงานโครงสร้างอาคาร  งานสถาปัตยกรรม สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี  ซึ่งเหมาะทั้งงานโครงสร้าอาคารที่มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ 

เหล็กรูปพรรณรีดร้อนที่ใช้กันบ่อยๆ เช่น

  • เหล็กฉาก(Angle Bar)
  • เหล็กรางน้ำ(Channel Bar)
  • เหล็กไอบีม(I-Beam)
  • เหล็กเอชบีม(H-Beam)
  • เหล็กไวแฟรงค์(wide-Flange)
  • เหล็กเพลาขาว(Steel Round Bar)
  • เหล็กแบน(Flat Bar)
  • เหล้กเส้นเส้นก่อสร้าง(Round Bar)
  • เหล็กเส้นข้ออ้อย(Deformed Bar)

เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดเย็น (Cold formed structural steel) คือกระบวนการพับขึ้นรูปเหล็กกล้าที่มีลักษณะเป็นแผ่นในอุณหภูมิปกติ ซึ่งวัตถุดิบในการขึ้นรูปคือ เหล็กแผ่นรีดร้อนหรือเหล็กแผ่นชุบสังกะสี ซึ่งได้แก่

  • เหล็กตัวซี (LIGHT LIP CHANNEL)
  • ท่อกลมดำ (CARBON STEEL TUBES)
  • เหล็กกล่องสี่เหลี่ยมจตุรัส (CARBON STEEL SQUARE PIPES)
  • เหล็กกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า (CARBON STEEL RECTANGULAR PIPES)
  • ท่อเหล็กอาบสังกะสี (GALVANIZED STEEL PIPES)
  • ท่อเฟอร์นิเจอร์ (STEEL FURNITURE ROUND PIPES)
  • ท่อกลม API (AHTM A 53)
  • เหล็กฉากพับ (COLD FORMED CHANNEL)
  • เหล็กรางพับ (COLD FORMED CHANNEL)

การนำไปใช้งานของเหล็กรูปพรรณขึ้นรูปเย็น นิยมใช้กันมากในงานโครงสร้าง โครงหลังคา ต่างๆ แทนการใช้ไม้ หรืองานที่รองรับน้ำหนักไม่มากนัก เช่น โครงหลังคา งานนั่งร้าน เป็นต้น


ข้อดีของเหล็กรูปพรรณ

  1. มีกำลังต่อน้ำหนักสูง เหมาะในการก่อสร้างอาคารที่มีระยะช่วงที่ยาวมากๆ และอาคารสูง
  2. มีสมบัติทางกลสม่ำเสมอ สามารถออกแบบงานสถาปัตยกรรมได้หลากหลาย เช่น ดัดโค้ง ทำโครงสร้างโปร่ง หรือทำส่วนยื่นได้มาก
  3. มีความยืดหยุ่นสูง ลดการเสียรูปอย่างถาวร
  4. มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ถ้าดูแลเหมาะสมและถูกต้อง
  5. ก่อสร้างได้ง่าย และรวดเร็ว กว่างานคอนกรีตมาก
  6.  ก่อสร้างในที่จำกัดได้สะดวก ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะผุ่น
  7. สามารถรับแรงสั่นสะเทือนและแผ่นดินไหวได้ดีกว่าโครงสร้างระบบอื่น
  8. ดัดแปลง ต่อเติม หรือรื้อไปสร้างใหม่ได้ ไม่ต้องทุบทิ้ง
  9. สามารถนำวัสดุมาหมุนเวียนได้ 100%

    คลิกตรงนี้
    คู่มือเหล็กรูปพรรณ
    ข้อมูลบริษัท TMT Steel