Skip to main content

PAR68-WH-008 พาเลทผุยุบทำให้สินค้ากระเบื้องหลังคา เอสซีจี แตกเสียหาย

วันที่ 25/11/68

  1. ผู้ควบคุมดูแล  
    ชื่อ/ตระการ/ แผนกคลังสินค้า แผนกบริหารสินค้า และแผนก Support 

    บันทึกอะไร (คำอธิบาย)
    เนื่องจากเมื่อวันที่ 20  พฤศจิกายน 2568 ส่วนงานพัฒนาระบบคุณภาพได้มีการ Audit พื้นที่คลังประจำสัปดาห์  พนักงานคลังสินค้าได้แจ้งว่ามีสินค้ากระเบื้องหลังคาคอนกรีต เอสซีจี นีโอคลาส สีเงินไททาเนียม ยุบ จำนวน 6 พาเลท และกำลังดำเนินการคัดแยกและเปลี่ยนพาเลทส่วนที่แตกเข้ากระบวนการ DMG นั้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขอให้แผนกที่เกี่ยวข้องร่วมกันวินิจฉัยปัญหาและหามาตรการป้องกันปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำ     

    image.pngimage.pngimage.png

     

วินิจฉัยปัญหา องค์กรป้องกัน/ไม่ซ้ำกัน
  1. ไม่ได้มีการจ่ายสินค้าแบบ FIFO
  2. ไม่ได้มีการตรวจสอบ Lot สินค้าที่เข้ามาเกิน 6 เดือน 



1.ใช้แผงกั้นหรือป้ายเตือน เพื่อบังคับให้หยิบสินค้าตามลำดับ FIFO เพิ่มป้าย A4 ติดตรงแถวสินค้า ที่เข้าก่อน  เช่น
           "จ่ายแถวนี้ก่อน" หรือ "จ่ายโซนนี้ก่อน "

2.ทำ  Checklist ตรวจสอบสินค้า และความแข็งแรงของพาเลท 2 ครั้ง/เดือน

3.เพิ่มป้ายสีกำกับสินค้า ที่เข้าคลังแต่ละเดือน 

4.แยกพื้นที่ชัดเจน: กำหนดโซนเฉพาะสำหรับสินค้าที่ใช้ระบบ FIFO โดยเฉพาะ โดยเฉพาะสินค้าที่มีวันหมดอายุหรืออายุการเก็บรักษาสั้น

5.ติดฉลากให้ชัดเจน: ใช้ฉลากที่มองเห็นได้ง่ายและทนทาน ระบุวันที่รับเข้า 

 

image.png    image.png         image.png

image.png   image.png

การเพิ่มมาตรฐานการรับสินค้าแบบ FIFO (เข้าก่อน-ออกก่อน) ต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการจัดระเบียบพื้นที่ การฝึกอบรมพนักงาน และการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่เข้ามาก่อนจะถูกนำออกไปก่อนเสมอ
คือขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการปรับปรุงมาตรฐาน FIFO
1.การจัดระเบียบและออกแบบคลังสินค้า
จัดสรรพื้นที่จัดเก็บตามหลัก FIFO: ออกแบบผังคลังสินค้าให้สนับสนุนการเคลื่อนย้ายสินค้าตามลำดับ เช่น ใช้ระบบชั้นวางแบบไหลตามแรงโน้มถ่วง (gravity flow racking) หรือระบบชั้นวางแบบเข้าด้านหนึ่งออกอีกด้านหนึ่ง (drive-through racking) เพื่อบังคับให้มีการหยิบสินค้าเก่าออกก่อน
  • แยกพื้นที่ชัดเจน: กำหนดโซนเฉพาะสำหรับสินค้าที่ใช้ระบบ FIFO โดยเฉพาะ โดยเฉพาะสินค้าที่มีวันหมดอายุหรืออายุการเก็บรักษาสั้น
  • ติดฉลากให้ชัดเจน: ใช้ฉลากที่มองเห็นได้ง่ายและทนทาน ระบุวันที่รับเข้า วันที่ผลิต หรือวันหมดอายุ (สำหรับสินค้าที่เน่าเสียง่าย) บนบรรจุภัณฑ์และชั้นวาง 
2. กระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐาน
กำหนดขั้นตอนการรับสินค้า: เมื่อสินค้ามาถึง ให้บันทึกข้อมูลสำคัญ เช่น วันที่รับ, หมายเลขล็อต, และวันหมดอายุทันที
  • จัดเก็บอย่างเป็นระบบ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าใหม่ถูกจัดเก็บไว้ด้านหลังหรือใต้สินค้าเก่าเสมอ และสินค้าเก่าอยู่ด้านหน้าหรือด้านบนเพื่อให้หยิบได้ง่าย
  • กฎ "ห้ามแซง": สร้างกฎที่ชัดเจนว่าห้ามหยิบสินค้าใหม่ก่อนสินค้าเก่าโดยเด็ดขาด
  • การจัดการสินค้าใกล้หมดอายุ: ตรวจสอบอายุการเก็บรักษาอย่างสม่ำเสมอ และจัดทำรายการสินค้าที่มีความเสี่ยงใกล้หมดอายุ เพื่อกระตุ้นให้ฝ่ายขายหรือฝ่ายปฏิบัติการดำเนินการจัดการก่อนที่จะสูญเสียสินค้า
3. การฝึกอบรมพนักงานและการสื่อสาร
ฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ: ให้ความรู้แก่พนักงานทุกคนเกี่ยวกับหลักการ FIFO และความสำคัญของการปฏิบัติตาม เพื่อลดความผิดพลาดและสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบต่อต้นทุนและคุณภาพสินค้า
  • สร้างความรับผิดชอบ: สร้างความเข้าใจว่า FIFO มีผลต่อหน้าที่ของทุกคน และกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตาม FIFO
  • สื่อสารข้ามแผนก: สร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างแผนกจัดซื้อ คลังสินค้า และฝ่ายขาย เพื่อให้ทุกคนทราบถึงปริมาณสต็อกและการเคลื่อนไหวของสินค้า
4. การใช้เทคโนโลยี
ระบบจัดการคลังสินค้า (WMS): การนำระบบ WMS มาใช้ช่วยให้สามารถควบคุมสินค้าคงคลังแบบดิจิทัล ระบบจะแนะนำตำแหน่งจัดเก็บที่ถูกต้องตามหลัก FIFO และแจ้งเตือนเมื่อมีการหยิบสินค้าผิดล็อต
  • บาร์โค้ดและ RFID: ใช้เทคโนโลยีบาร์โค้ดหรือ RFID เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของสินค้าแบบเรียลไทม์ และป้องกันข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ระบบสามารถบังคับใช้กฎ FIFO ได้โดยอัตโนมัติระหว่างการสแกน
  • การตรวจสอบอัตโนมัติ: ใช้ซอฟต์แวร์เพื่อตรวจสอบอายุสินค้าและแจ้งเตือนสต็อกที่มีความเสี่ยง ช่วยลดการสูญเสีย 
5. การตรวจสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
        การตรวจสอบสต็อกเป็นประจำ: ทำการตรวจนับสินค้าคงคลังเป็นรอบ (cycle counting) หรือการนับจริงเป็นระยะ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและ             ประเมินการปฏิบัติตามหลัก FIFO

       วิเคราะห์ข้อมูล: ติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าคงคลังเพื่อหาจุดอ่อนในกระบวนการ FIFO และวางแผนปรับปรุงต่อไป